คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับวันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?...

วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?...

คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?...

วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับวันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับ...

คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?...

คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?...

วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับวันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับ...

วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับวันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับวันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?...

วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับวันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับ...

วันที่22มีนาคม2566ดร.กิติวัฒน์คำวัน โพสต์เฟซบุ๊กKitiwatKhamwan ระบุว่า"ขอให้คนในวงการรังสีได้มีโอกาสพูดบ้างนะครับหากแท่งเหล็กCs-137ที่หายไปถูกหลอมไปแล้วจะเป็นอย่างไรอันตรายมากน้อยแค่ใหน"หลังจากที่มีการแถลงข่าวถึงสถานการณ์Cs-137ที่หายไปจนตอนนี้เริ่มพูดกันในวงกว้างและคนเริ่มกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆมีการแชร์ข้อมูลต่างๆนาๆซึ่งส่วนใหญ่จากมาจากfakenewsในโลกโซเชียลและจนถึงขั้นที่ว่าหากถูกหลอมไปแล้วจริงจะเกิดการฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศปลิวไปไกลเป็นพันๆกิโลเป็นอันตรายต่อคนทั้งประเทศจริงๆแล้วก็คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการรังสีดร.นภาพงษ์พงษ์นภางค์ นายกสมาคมรังสีเทคนิคนานาชาติปธ.วิชาการรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมาพูดแล้วตามที่เห็นในสื่อต่างๆที่แชร์กันในFB/tiktokหลายๆข่าวก็ดูจะเกินจริงไปหน่อยทางปส.ก็ได้ทำการวัดรังสีรอบๆพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการปนเปื้อนรังสีก็วัดไม่ขึ้นครับในส่วนบริเวณพื้นผิวของถุงบิ้กแบ้กเท่าที่ทราบคืออัตราปริมาณรังสีที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ3ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมงซึ่งเมื่อยิ่งอยู่ห่างออกมาปริมาณรังสีจะยิ่งลดลงตามกฏกำลังสองผกผันส่วนเหตุการณ์โคบอลต์-60ที่จังหวัดสมุทรปราการเมื่อปี2543อันนั้นปริมาณรังสีสูงกว่าเหตุการณ์นี้เยอะมากๆๆประมาณ10,000เท่าเพราะเป็นที่ส่วนหัวที่ใช้สำหรับฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งความแรงรังสีของCs-137ที่เหลืออยู่ของแท่งนี้อยู่ที่ประมาณ41มิลลิคูรีเทียบเท่ากับปริมาณซีเซียม-1370.00047185กรัมโดยประมาณเท่านั้นซึ่งแทบจะเทียบกันไม่ได้เลยกับCs-137ปริมาณ27กก.จากอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิลCs-137ถ้าถูกหลอมไปแล้วจริงคงจะต้องไปดูเรื่องของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซึ่งอันตรายแบบเฉียบพลันจากการรับปริมาณรังสีมากๆในครั้งเดียวหรือที่เรียกว่า“acuteeffect”ตามที่แชร์กันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆแต่อาจจะต้องติดตามดูผลระยะยาวเรื่องความเสี่ยงโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมไทรอยด์ของคนในพื้นที่ซึ่งที่ต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้เค้ามีการติดตามดูผลระยะยาวไปถึง20-30ปีข้างหน้าเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรังสีCs-137ที่เมืองโกยาเนียประเทศบราซิลปี1987(บ้านเราก็น่าจะมีโมเดลนี้เช่นกันหรือเปล่า??)หากเกิดฟุ้งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศจริงต้องเทียบปริมาณรังสีกับพื้นที่ชั้นบรรยากาศทั้งจังหวัดหรือรอบๆแถวนั้นอย่างน้อยที่สุดซึ่งความเข้มข้นของCs-137ต่อตารางเมตรจะน้อยมากปริมาณรังสีอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนเครื่องวัดรังสีอาจจะวัดไม่ขึ้นไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร่างกายของคนเราเองก็มีความทนทานต่อรังสีในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามก็คงต้องทำการตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีว่าระดับปริมาณรังสีเกินกว่าในชีวิตประจำวันหรือไม่หากอ้างอิงตัวเลขจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(InternationalAtomicEnergyAgency)ค่ารังสีส่วนเกินจากธรรมชาติที่คนทั่วไปควรได้รับไม่ควรจะเกิน1มิลลิซีเวิร์ต/ปีคนเราได้รับรังสีจากทางธรรมชาติทุกวันเช่นรังสีคอสมิกจากนอกโลกรังสีเรดอนจากพื้นโลกอาคารที่พักอาศัยแม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็ยังมีโปแทสเซียม-40ซึ่งเป็นธาตุที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุนี้เป็นไอโซโทปรังสีที่ปลดปล่อยรังสีแกมมาและบีตามีค่าครึ่งชีวิตยาวนานยิ่งกว่าCs-137และพบได้ในธรรมชาติเช่นในดินและพืชซึ่งเราได้รับธาตุนี้จากการบริโภคอาหารซึ่งเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติถ้าหากซีเซียม-137ถูกหลอมและออกไปสู่สิ่งแวดล้อมจริงๆคิดว่าคงไม่เกินค่าระดับรังสีพื้นหลังเนื่องจากถูกเจือจาง(dilute)ไปในธรรมชาติจนอยู่ระดับที่ต่ำมากค่าเฉลี่ยระดับรังสีพื้นหลัง(backgroundradiation)ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ3มิลลิซีเวิร์ต/ปีอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศถึงแม้ทางปส.ออกมายืนยันว่าไม่พบการปนเปื้อนของCs-137ของคนในโรงงานและค่าปริมาณรังสีที่วัดได้จากพื้นที่ชุมชนรอบๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแทบจะไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสบายใจได้100%จึงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่ประมาทแต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกจนเกินไปหวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเลวร้ายถึงขั้นประชาชนแห่กันไปซื้อพรัสเซียนบลู(Prussianblue)หรือไอโอดีนมากักตุนเพื่อเอาไว้กำจัดสารกัมมันตรังสีCs-137ออกจากร่างกายนะครับเพราะณขณะนี้คงไม่มีความจำเป็นและรุนแรงถึงขนาดนั้นและขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนในพื้นที่สามารถผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยดีนะครับ…ปล.ภาพตัวอย่างคือCs-137ที่ใช้สำหรับการปรับเทียบเครื่องมือทางรังสีdosecalibratorในแผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวันครับคนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?คนวงการรังสีขอพูดบ้าง ซีเซียม-137 หลอมแล้วกระจายไกลแค่ไหน เสี่ยงมะเร็งจริงหรือไม่?...